ส่องสกุลเงินที่วิ่งตามราคาน้ำมัน

717

การฟื้นตัวขึ้นของราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า West Texas Intermediate ราว 126% ตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายน สะท้อนตลาดการเงินที่ตื่นตระหนกลดลงจากภาวะปั่นป่วนรุนแรงในช่วงต้นของวิกฤต COVID-19 ซึ่งส่งผลให้ผู้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลกตอบสนองอย่างเร่งด่วนด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโรคระบาดและมาตรการปิดเมือง ราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องส่งผลให้สกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเชื่อมโยงสูงกับทรัพยากรปิโตรเลียมปรับตัวโดดเด่นในเดือนสิงหาคมนี้ โดยในกลุ่มสกุลเงินหลักของกลุ่มประเทศ G10 ดอลลาร์แคนาดา (CAD) โครนนอร์เวย์ (NOK) และโครนาสวีเดน (SEK) แข็งค่าขึ้น 1.7%, 3.0% และ 1.2% ตามลำดับ ขณะที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.9% (กราฟด้านล่าง) นอกจากนี้ ริงกิตมาเลเซีย (MYR) และรูเบิลรัสเซีย (RUB) ปรับตัวแข็งค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสกุลเงินตลาดเกิดใหม่เช่นกัน

สำหรับประเทศทั้งสามที่มีค่าเงินปรับตัวโดดเด่นในกลุ่ม G-10  หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและข้อมูลจากองค์การการค้าโลกพบว่าแคนาดาส่งออกสินค้าประเภทเชื้อเพลิงที่ได้จากแร่, น้ำมันและปิโตรเลียม คิดเป็นกว่า 22% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ซื้อหลัก ขณะที่นอร์เวย์ส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวสูงถึงกว่า 55% ของยอดส่งออกทั้งหมดเลยทีเดียว ส่วนสวีเดน สัดส่วนนี้อยู่ที่ราว 6% แต่เศรษฐกิจของสวีเดนยังเกี่ยวโยงแนบแน่นกับความเป็นไปของประเทศเพื่อนบ้านผ่านบริบทคู่ค้าสำคัญอย่างนอร์เวย์ แน่นอนว่าทิศทางเศรษฐกิจการค้าโลกซึ่งเป็นปัจจัยชี้นำอุปสงค์น้ำมัน การร่วมมือกันด้านการปรับสมดุลอุปทานของผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกอย่าง OPEC และพันธมิตร รวมถึงประสิทธิภาพของกลไกการผลิตพลังงานทางเลือก ย่อมส่งผลต่อแนวโน้มค่าเงิน CAD, NOK และ SEK นอกเหนือจากประเด็นเหนี่ยวนำค่าเงินดอลลาร์เอง อาทิ นโยบายการเงิน การคลัง และการค้าของสหรัฐฯ

ทีมนักวิเคราะห์ด้านพลังงานของ MUFG คาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ที่ 50.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงกลางปี 2564 เทียบกับระดับ 42-43 ดอลลาร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี การเดินทางระหว่างประเทศที่ชะงักงันอย่างยืดเยื้อจากมาตรการลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการติดเชื้อรวมถึงการระบาดของโควิด-19 รอบสองในหลายเมืองหลักจะจำกัดการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้จนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้แพร่หลาย ขณะที่ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีมีแนวโน้มสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินและราคาสินทรัพย์ต่างๆ สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันจึงเผชิญความท้าทายที่จะยืนระยะเพื่อรักษาช่วงบวกในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า

                         Source: Bloomberg, ข้อมูลถึงวันที่ 18 ส.ค.