GULF เข้าถือหุ้น INTUCH สัดส่วน14.39 % เล็งเห็นศักยภาพธุรกิจ

239

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) โดย นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท ได้รายงานความคืบหน้าการลงทุนในหุ้นสามัญบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 โดยบริษัทฯ ได้เข้าถือหุ้นสามัญ INTUCH คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ INTUCH ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ แล้วนั้น

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) ทราบว่า คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563และวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ลงทุนในหุ้นสามัญ INTUCH เพิ่มเป็นจำนวนรวมไม่เกินร้อยละ 5.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ INTUCH ในวงเงินลงทุน รวมไม่เกิน 8,920 ล้านบาท (หรือรวมเป็นการลงทุนทั้งหมดในหุ้นสามัญ INTUCH เพิ่มจากจำนวนร้อยละ 10.00เป็นไม่เกินร้อยละ 15.00 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ INTUCH)

โดยการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และ/หรือโดยวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควร ภายใต้กฎหมายและ หลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกี่ยวข้อง โดย ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ ได้ถือ หุ้นสามัญใน INTUCH เป็นจำนวน 461,548,943 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.39 ของจ านวนหุ้นที่ออกและ จำหน่ายแล้วทั้งหมดของ INTUCH

ธุรกรรมการลงทุนในหุ้นสามัญ INTUCH ข้างต้นเข้าข่ายเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินของบริษัทจดทะเบียนตามที่ กำหนดในประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน) โดยเมื่อคำนวณขนาดรายการมี ขนาดรายการสูงสุดรวมเท่ากับร้อยละ 15.6532 ตามเกณฑ์กำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมบริษัทฯ ซึ่งเข้าข่ายเป็น รายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ประเภทที่ 2 และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับรายการได้มาซึ่ง สินทรัพย์ของบริษัทฯ ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และจัดส่งสารสนเทศซึ่งมีรายละเอียดตามที่กำหนดให้แก่ผู้ถือหุ้นภายใน 21 วัน นับ แต่วันที่เปิดเผยรายการดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ

ทั้งนี้บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจใน การถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลักด้านธุรกิจสื่อสาร โทรคมนาคมไร้ สาย ธุรกิจ ดาวเทียมและธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจอื่น ๆ นั้น นอกเหนือจากพิจารณาจากอัตราเงินปันผลที่ได้รับจากการ ลงทุน บริษัทฯ พิจารณาจากวิธีการประเมินมูลค่ากิจการต่างๆ ตามหลักสากลที่เป็นที่ยอมรับเป็นการทั่วไป กล่าวคือ วิธีการประเมินมูลค่าแบบแยกส่วน (Sum-of-the-parts valuation) ซึ่งค านวณมูลค่าของธุรกิจด้วยวิธีการคิดลด กระแสเงินสด (Discounted Cash Flow หรือ DCF)วิธีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) และวิธีมูลค่าตามบัญชี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้พิจารณาวิธีอื่นประกอบด้วย เช่น วิธีเปรียบเทียบอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) และวิธีเปรียบเทียบอัตราส่วนมูลค่ากิจการต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจ าหน่าย (EV/EBITDA Ratio) ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุน

INTUCH ประกอบธุรกิจในการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) มีศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดให้แก่ บริษัทฯ เนื่องจากเป็นการลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้น าในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานประเภทโทรคมนาคมของ 7 ประเทศไทย และธุรกิจดังกล่าวยังคงมีศักยภาพการเติบโตที่สูง โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าการลงทุนดังกล่าวจะสามารถ สร้างผลตอบแทนในรูปเงินปันผลให้แก่บริษัทฯ ได้อย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องในระยะยาว

www.mitihoon.com