ตลาดหมี แต่ยังพอมีความหวัง

194

อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2561 ติดลบ -10.8% และเริ่มส่งสัญญาณว่าจะเข้าสู่ภาวะหมี (Bear market) หุ้นพิมพ์นิยมที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เข้าสู่แนวโน้มขาลงในปี 2561 ท่ามกลางปัจจัยลบเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณจากการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ อย่าง จีน สหรัฐฯ และ ยุโรป โดยนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐฏิจโลกน่าจะเริ่มชะลอตัวลง หลังจากที่ฟื้นตัวขึ้นมาแข็งแกร่งหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2550 – 51 ภายหลังการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆ เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้ว ถูกซ้ำเติมด้วยประเด็นสงครามทางการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – จีน ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเริ่มทำการปรับพอร์ตรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่จะเกิดขึ้น เห็นได้จากการปรับรูปแบบการลงทุนจากหุ้น Growth stock ไปสู่หุ้น Value stock / จากหุ้น Mid-small cap ไปสู่หุ้น Big cap เป็นต้น ซึ่งคาดว่ารูปแบบการลงทุนในลักษณะนี้น่าจะดำเนินต่อไปอีกสักระยะ (1 – 3 เดือน)

แม้ปัจจัยลบที่รออยู่คือการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะกระทบมาถึงประเทศไทยด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (อาจทำให้นักวิเคราะห์ต้องทำการปรับประมาณการฯลงหาก กรณีที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจส่งผลกระทบแรงกว่าคาด)  อย่างไรก็ดีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2562 ยังพอมีความหวัง

1) Valuation หุ้นไทยเริ่มถูก ผมเริ่มเตือนนักลงทุนถึงความแพงของ Valuation ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ช่วง 3Q61 จาก Yield gap และ Cyclical adjusted PE (CAPE) ที่ส่งสัญญาณมาตลอดตั้งแต่ช่วงกลางปี 2561 แต่ในขณะนี้ Yield gap ที่ระดับ +5% เริ่มสะท้อนว่าหุ้นไทยเริ่มถูก อย่างไรก็ดีในส่วนของ CAPE ที่ระดับ <18 เท่านั้น สะท้อนว่าหุ้นไทยนั้นเริ่มถูกลงจากช่วงพีคในปีก่อนที่ 21.6 เท่า

2) ประเด็นสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ – จีน ได้ซึมซับมาในราคาหุ้นระดับนึงแล้ว หากมีคืบหน้าเรื่องการเจรจา น่าจะเป็นการปลดล๊อกความกังวลของนักลงทุนและทำให้ Risk premium ปรับลดลง ส่งผลให้ PE / PBV ไม่ถูก De-rate ลงอย่างที่กังวลกัน อย่างไรก็ดีหากประเด็นการเจรจานั้นยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ (จะเริ่มเจรจาต้นสัปดาห์นี้) อาจส่งผลให้ความกังวลดังล่าวยังปกคลุมตลาดหุ้นต่อไป

3) การเลือกตั้งของประเทศไทย แม้จะช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ไปบ้าง แต่ยังอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดไว้ตามกฏหมายแต่แรก จึงเชื่อว่าไม่กระทบต่อ Sentiment การลงทุน อย่างไรก็ดีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้อาจมีความแตกต่างจากในอดีตไปบ้างทำให้ ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวขึ้นตอบรับก่อนการเลือกตั้งเหมือนทุกครั้ง เชื่อว่านักลงทุนต้องการที่จะพิจารณาผลการเลือกตั้งว่ารัฐบาลใหม่ว่าจะมีเสถียรภาพเพียงใด จึงจะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนอีกครั้ง

โดยสรุป การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2562 แม้จะมีข้อดีคือ หุ้นไทยเริ่มถูก แต่ข้อควรระวังที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงในอนาคตคือ เรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ที่อาจกระทบต่อประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอนาคต ซึ่งอาจกระทบมายัง Valuation ในอนาคตให้ “ไม่ถูก” เช่นในขณะนี้ก็เป็นไปได้ แนะนำลงทุน i) หุ้นที่ Valuation ถูก (เน้น PBV มากกว่า PE เพราะ PE อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดประมาณการฯลง) เลือกกลุ่มธนาคาร เลือก KBANK, KTB, BBL ii) หุ้นที่พักฐานลงมาแรง แต่พื้นฐานไม่เปลี่ยนมากนัก เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL, COM7 / กลุ่มนิคมฯ AMATA และ iii) หุ้น Defensive อย่าง กลุ่มโรงไฟฟ้า EGCO, BGRIM … สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ระยะสั้น อาจต้องหลีกเลี่ยงก่อน เนื่องจากใกล้พ้นช่วง High season และอาจได้รับผลกระทบจากพายุปาบึก เช่น CENTEL, BA, AOT เป็นต้น

โดยสุโชติ ถิรวรรณรัตน์